วันเสาร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2554

ไปทางไหน

                               

  ไปทางไหน....
*“…ข้าไม่เป็นห่วงการปั้นนักเรียนชั้นมัธยมให้เป็นเทวดาเหมือนกันหมดทุกคน ได้คะแนนกันคนละหลายพันคะแนน เท่าการสร้างเด็กหนุ่มที่ขยันขันแข็ง   สะอาดทั้งร่างกายและจิตใจ  เตรียมพร้อมที่จะรับภาระต่างๆ ซึ่งจะมีมาในอนาคต...ข้าต้องการให้การศึกษาเป็นสิ่งที่งดงาม ทำให้เด็กที่ออกไปแล้วหวนกลับมาคิดถึงในวันข้างหน้าด้วยความภาคภูมิใจ...
                 นี่คือส่วนหนึ่งในพระราชดำรัสของรัชกาลที่ 6 ที่พระราชทานแก่โรงเรียนมหาดเล็กหลวง (ปัจจุบัน คือ วชิราวุธวิทยาลัย) แม้เวลาจะผ่านไปนานเท่าไร ทุกครั้งที่ได้อ่าน ก็รู้สึกซาบซึ้งใจ เนื่องจากระบบการศึกษาของไทยในปัจจุบันให้ความสำคัญกับค่าคะแนน ซึ่งเป็นมายา มากกว่าการเห็นคุณค่าของความเป็นมนุษย์ จึงจัดการเรียนการสอนโดยมุ่งให้ผู้เรียนได้พัฒนาความเป็นมนุษย์อย่างเต็มศักยภาพ เพื่อสอดรับกับพระราชปณิธานของรัชกาลที่ 6 ดังนั้น ครูปาด ศีลวัต ศุษิลวรณ์ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ โรงเรียนเพลินพัฒนาจึงนำแนวคิดดังกล่าวมาจัดการเรียนการสอนที่ ร.ร.เพลินพัฒนา ให้เป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ผ่านกระบวนการทางวัฒนธรรม ที่ไม่มีใครเป็นศูนย์กลาง ครูกับศิษย์จะเรียนรู้ไปด้วยกัน โดยเปิดสอนตั้งแต่ระดับชั้นเตรียมอนุบาลไปจนถึงชั้น ม.6 ความรู้นอกตำราเป็นสิ่งสำคัญ 
                   ครูจะพาเด็กออกภาคสนามเพื่อไปสัมผัส เรียนรู้ และสร้างปฏิสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมต่างๆ เพราะได้อะไรมากกว่าการทัศนศึกษาที่แค่ไปเห็น รู้สึก แต่ไม่ได้ร่วมใช้ชีวิต ศิษย์ที่จบออกไปสามารถปรับตัวและใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยได้ดีมาก นอกจากเรียนดีแล้ว ยังเรียนรู้ที่จะดูแลตัวเอง ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมรอบตัว และมีส่วนร่วมนำพาสังคมไปในทางที่ถูกต้อง  ด.ญ.ปณิตา สถีระศรินทร์ นักเรียนชั้น 5 หรือ ม.1 บอกว่า ย้ายมาเรียนที่นี่เพราะพี่สาวเข้าเรียนที่นี่ตั้งแต่ชั้น 7 ตอนนี้อยู่ชั้น 9 หรือ ม.3 แล้ว สามารถจัดระบบชีวิตได้ดีขึ้น สอนให้รู้จักคิด วิเคราะห์ วางแผน และสรุปออกมานำเสนอหน้าชั้นเรียน ทำให้กล้าแสดงออกมากขึ้น เรียนที่นี่แล้วมีความสุข สังคมที่นี่ดีมากๆ เพื่อนๆ น่ารักทุกคน และมีกิจกรรมให้ทำเยอะ ได้เล่นอะไรหลายอย่าง ซึ่งเป็นการเรียนรู้ไปในตัว  ได้ลงพื้นที่จริงๆ        
                    อย่างวิชามานุษยและสังคมศึกษา ได้ไปชุมชนกองขยะหนองแขม เพื่อดูว่าเขาแยกขยะอย่างไร วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของเขาเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งก็ไม่ได้รังเกียจ แต่จะสงสัยว่า ทำไมเขาต้องมาทำงานแบบนี้ ทำไมไม่ทำงานอื่น คนที่อยู่รอบๆ ตัวเขาน่าจะให้โอกาสเข้าไปทำงานดีๆ บ้าง ด้านคุณแม่เชิญจุติ มณเฑียรมณี กล่าวว่า ประทับใจความเป็นไทยของโรงเรียนนี้ เพราะเด็กๆ มีมรรยาทงดงาม ทั้งเด็ก คุณครู และผู้ปกครอง จะยกมือไหว้สวัสดีกันตลอดทางเดิน จนกลายเป็นวัฒนธรรมประจำโรงเรียนไปแล้ว อีกทั้งยังสอดแทรกธรรมะไว้ในชีวิตประจำวัน ให้เด็กๆ ซึมซับตั้งแต่ยังเล็ก เพื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีของสังคม*
                      อ่านมาถึงตรงนี้   คงพอจะคิดออกว่าเราจะไปทางไหน   ไปอย่างที่เคยไป   ไปอย่างคนอื่นไป    ทำอย่างคนอื่นๆทำ   หรือทำไปก็ไม่เกิดอะไร   ใครๆ ก็คิดอย่างเรานี่แหละ   ......ง่ายไปไหมที่จะตอบแบบนี้  คุณจะบอกว่าทนกินไข่เจียว ไข่ต่างๆซ้ำๆได้อย่างนั้นหรือ   จะไม่คิดหาวิธีอื่นเพื่อให้ได้กินไข่อร่อยกว่าใข่เจียว ไข่....... ให้ทันก่อนหรือใกล้เกษียณนี้หรอกหรือ  มาลุยกันสักตั้งเถิดเพื่อนครูร่วมอาชีพ     จากบทความข้างบน....ล้นเกล้ารัชกาลที่ 6 ท่านทรงมองเห็นอนาคตข้างหน้าไปอีกเป็นหลายร้อยปี   น่าเสียดายนักที่คนในยุคนี้ย่อท้อ  เบื่อหน่าย  ขาดแรงจูงใจ   แรงกระตุ้นที่จะช่วยกันตั้งแต่ยังไม่เริ่มงานด้วยซ้ำ   พี่น้องเพื่อนครูทุกท่าน    ขอเชิญรวมพลัง  คิด  ค้น   แก้ไข   ปรับเปลี่ยนกลวิธี   ในการดำเนินการเรียนการสอน   จัดกิจกรรม   ดูแลพฤติกรรมนักเรียน   พัฒนาสื่อและนำไปใช้จริงจัง ฯลฯ   ให้เต็มที่เต็มเวลากันเถิด   คงไม่ต้องบอกว่าทำเพื่ออะไร  ทำไปทำไม  ทำให้ใคร   ใครได้ประโยชน์   และใครจะนำไปทำอะไรต่อ  เพราะถึงตอนนี้ทุกคนก็รู้คำตอบแล้วละค่ะ.........ขอบคุณทุกท่าน.......
                                                      
  (* จาก.....นสพ. คมชัดลึก  29 ม.ค. 52)